วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

นิทานอีสป...เด็กเลี้ยงแกะ

นิทานอีสป...เด็กเลี้ยงแกะ








ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กเลี้ยงแกะ อยู่คนหนึ่ง ทุกวัน...ทุกวัน...เด็กเลี้ยงแกะคนนี้ จะต้องต้อนฝูงแกะของตน ออกไปหากินหญ้าที่เนินเขาใกล้ชายป่าอยู่สมอมา...และเมื่อเขาได้นำฝูงแกะมาถึงที่หมายแล้ว ก็จะต้องนั่ง เฝ้าเพื่อคอยปกป้องให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของหมาป่า อยู่จนกว่าพวกแกะทั้งฝูงจะกินหญ้าเสร็จ ซึ่งมันก็เป็น หน้าที่ประจำวันที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุดของเขา เมื่อทุกวันๆ จำจะต้องทำอย่างซ้ำซากจำเจและหลีกเลี่ยง ไม่ได้อย่างนั้น เขาจึงรู้สึกเบื่อหน่ายและแสนที่จะเซ็ง...อย่างที่สุดขึ้นมาเข้าวันหนึ่ง จึงคิดหาเรื่องสนุกๆ ทำเล่น เพื่อให้คลายความเครียดและเกิดความสนุกสนานขึ้นมาเสียสักหน่อย...ท่าจะดี และเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว...







จึงแกล้งร้องตะโกน ขึ้นด้วยเสียงอันดัง พร้อมทั้งวิ่งอย่างตระหนกตกใจเข้าไปในหมู่บ้าน ปากก็ร้องตะโกนโหวก เหวกไปตลอดทางว่า "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว...ช้วยด้วยเจ้าข้า..." พวกชาวบ้านเมื่อ ได้ยินว่ามีหมาป่าออกมาดังนั้น จึงพากันวิ่งเข้ามาหมายจะช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่าง ๆที่พอจะมีกัน...แต่แล้วเมื่อ พากันวิ่งมาถึงตรงที่พวกฝูงแกะอยู่นั้น ก็ไม่พบและเห็นว่ามี หมาป่าอยู่ที่ไหนเลยสักตัวเดียว แล้วยังแถมมองเห็น ว่าพวกแกะนั้นกำลังเล็มหญ้ากินกันอย่างสบายใจ เด็กเลี้ยงแกะแอบหัวเราะขึ้นในใจ อย่างถูกใจเป็นที่สุด ที่ หลอกทุกคนได้ "ฮ่าๆๆๆ ฮู่ๆๆๆๆ ขำว่ะคนโดนเด็กหลอก ฮ่าๆๆๆ" เจ้าเด็กเลี้ยงแกะยิ้มหน้าระรื่นพร้อมทั้ง ได้บอกกับพวกชาวบ้านที่กำลังยืนงงกันอยู่นั้น อย่างมองแล้วก็รู้ว่าโดนเด็กหลอกให้เข้าอย่างเต็มเปาเลยหละว่า "พวกท่าน ฮึๆๆ มาช้าไปนิดเดียวแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเอง หมาป่ามันวิ่งหนีไปทางโน้น...แล้วหละ ฮึๆๆๆ"












พวกชาวบ้านเมื่อได้ฟังดังนั้น และเห็นเด็กเลี้ยงแกะทำท่าหัวเราะถูกใจ อย่างสุดที่จะระงับด้วยอาการแบบนั้นเข้า ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาได้โดนหลอกเสียแล้ว ต่างก็ให้เป็นโมโหกันอย่างมาก ด้วยเพราะต้องเสียเวลาทำงานของพวก เขาไปโดยปล่าวประโยชน์เหมือนไร้ค่าแบบน่าโมโหอย่างนั้น เด็กเลี้ยงแกะเมื่อหลอกใครๆ ได้สำเร็จ ก็ให้เป็นรู้สึก สนุกสนานเป็นอย่างมาก แล้วจากนั้น เขาก็ยังแกล้งหลอกแบบเดิม ให้ชาวบ้านพากันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาช่วย ได้อีก 2-3 ครั้ง











จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีหมาป่าออกมาไล่จับกินแกะเข้าจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงแกะ ตาเหลือก หน้าซีดวิ่งร้อง เสียงหลงเลยทีเดียว และได้เข้าไปขอร้องผู้คนเป็นการใหญ่ "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว... ช้วยด้วยเจ้าข้า !" เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนหอแหบ คอแห้งไปหมด แต่พวกชาวบ้านนั้น ด้วยทุกคน ก็ได้เคยโดนหลอกอย่างนี้มาแล้วหลายหน จึงไม่สนใจและเดินหนีกันไปหมดทุกคนเลยนั่นแหละ....










ก็จะมีใครเล่า...ที่จะเชื่อคนที่เคยและชอบโกหกพกลมอย่างนี้...สักคนเล่า...และในที่สุด ฝูงแกะทั้งฝูงของเด็กเลี้ยง แกะผู้ชอบปด ก็เลยจำต้องโดนหมาป่าเขมือบกินเป็นอาหารไปเสียจนหมด ไม่มีเหลือเลยสักตัว เด็กเลี้ยงแกะเลย จำต้องมานั่งร้องให้โอดครวญอย่างน่าสงสารอยู่ตรงข้างซาก ของฝูงแกะของตัวเอง และพูดทั้งน้ำตาว่า "ไม่ควร เล้ย..เพราะข้าไม่ดีเอง ขี้โกหกโป้ปดมดเท็จ เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก กว่าจะรู้ว่ามันไม่ดี...ฮื่อๆๆๆ ก็สายไปเสีย แล้ว ฮื่อๆๆๆ" เขานั่งร้องให้ขี้มูกโป่งด้วยความเศร้าโศรก อย่างที่เรียกว่า ผิดครั้งนี้..เล่นเอา เขาจำต้องหัวเราะไม่ ออกไปอีกนานเลยทีเดียวเลยหละ"







นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนที่มักหรือชอบพูดโป้ปดมดเท็จ
เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครสักคนเชื่อ...ท่านว่าไหมล่ะ ? ...


แปลและเรียบเรียงโดยสุขุมาลย์

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ดร.อาจอง เผยวิกฤติโลกร้อน มนุษย์เตรียมอพยพสู่ดาวอังคาร ปี ค.ศ. 2020



ดร.อาจอง เผยวิกฤติโลกร้อน
มนุษย์เตรียมอพยพสู่ดาวอังคาร ปี ค.ศ. 2020

ช่วงระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา มนุษย์รับรู้เรื่องการปรวนแปรของธรรมชาติจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนัก แผ่นดินไหว เกิดพายุรุนแรงในภูมิภาคต่างๆ ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจนทำให้คนล้มตาย ล่าสุดคำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ไทยภายใน 30 ปี น้ำจะท่วมภาคกลางของไทยเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย

โอกาสที่ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะโลกร้อน เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพราะปกติจะใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนสัตยาไสย จ.ลพบุรี เพื่อมาบรรยายพิเศษเรื่องการผลิตบัณฑิตคุณภาพบนพื้นฐานคุณธรรม ณ มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ได้สละเวลาให้สัมภาษณ์ประเด็นของโลกร้อนและทางรอดของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องนี้

ดร.อาจอง กล่าวว่า ตอนนี้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไปเยอะทุกอย่างมาจากภาวะโลกร้อน จะเห็นปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในประเทศไทยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผ่านมาเวียดนามมีหิมะตกเป็นครั้งแรก ล่าสุดมีหิมะตกในเคนยาประเทศเหล่านี้อยู่ใกล้เส้นศูนย์จึงไม่ต้องตกใจหากในเดือนมกราคมหิมะจะตกในเมืองไทย เดือนมกราคม อากาศจะเย็นที่สุด หิมะน่าจะตกในภาคเหนือ

ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกใต้ขั้วโลกเหนือละลายเร็วกว่าที่เราคิด จะเห็นว่าขณะนี้มีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาใหญ่เท่ากับเมืองนิวยอร์กไหลลงสู่ทะเล แล้วก็ไปละลายในทะเลทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

“เฉพาะแค่ช่วงชีวิตผมเองระดับน้ำ ทะเลสูงขึ้น 16 เซนติเมตร ตอนนี้อายุผม 68 ปีแล้ว 16 เซนต์ถือว่าเยอะมากแค่ช่วงระยะสั้นๆ ปกติจะใช้เวลาเป็น 4,000-5,000 ปีไม่ใช่แค่ 100 ปี ตอนนี้กำลังเร่งเพราะความร้อนมากขึ้นน้ำแข็งละลายมากขึ้น จะเร่งขึ้นไปเรื่อยๆ”

เมื่อย้อนไปยังยุคน้ำแข็งตอนนั้นอากาศหนาวเกือบจะทั่วโลกมีหิมะตก น้ำเหล่านี้หมุนเวียนไปเป็นน้ำแข็ง มีน้ำสะสมอยู่บนภูเขา ตรงขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ถ้าเราเปรียบเทียบ ตอนนั้นน้ำจากระดับน้ำทะเลระเหยขึ้นไปตกมากลายเป็นฝนและหิมะทำให้ระดับน้ำทะเลลดลง ตอนนั้นระดับน้ำทะเลอยู่ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 120 เมตร และถ้าน้ำแข็งละลายหมดระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 120 เมตรเพราะระดับน้ำทะเลไม่ได้หายไปไหนหมุนเวียนอยู่บนโลก

Image

เมื่อเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่าน้ำในทะเลสูงขึ้นจะค่อยๆ กินฝั่งของเราไปเรื่อยๆ อย่างเขตบางขุนเทียนที่กรุงเทพฯ เราสูญเสียแผ่นดินไปแล้ว 1 กิโลเมตร

นักวิชาการทางทะเลบอกว่าปรากฏ การณ์เหล่านี้คือปัญหากัดเซาะชายฝั่ง แต่ในมุมมองของอดีตนักวิทยาศาสตร์จากนาซาไม่เป็นเช่นนั้น

“ตอนนี้เสาไฟฟ้าอยู่ในทะเล หลายคนบอกว่าไม่ใช่น้ำทะเลสูงขึ้น แต่เป็นการเซาะฝั่ง ข้อบ่งชี้ว่าหากน้ำเซาะฝั่งเสาไฟฟ้าก็ล้มไปแล้วแสดงว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและเป็นอย่างนี้ทั่วโลก อเมริกาออกมาพูดว่าเมืองไมอามีอีกหน่อยก็จะไม่มีเหลือ ไม่ได้จมหมายความว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น”

ภาวะโลกร้อนแผ่อานุภาพไปทั่วโลก ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยา อาจตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกจะแตก แต่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ได้หมายความว่าแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ จะพังเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหว อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้มนุษย์อยู่อย่างลำบาก ประกอบกับจำนวนประชากรของโลกเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน จำนวนผู้บริโภคมากขึ้นทำให้โลกยิ่งร้อน ซึ่งมีคนคิดถึงทางออกของปัญหานี้ไว้แล้ว

ดร.อาจอง เล่าว่า องค์การนาซา มีโครงการจะไปเริ่มสร้างเมืองในอวกาศ โดยเลือกพื้นที่ดาวอังคารเพราะมีสภาพเหมือนกับโลก ขณะที่ดาวดวงอื่นเต็มไปด้วยอากาศพิษ ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป ดาวพฤหัสฯมีสภาพเป็นกรด ดาวอังคารแม้อากาศหนาวและมีสภาพไร้น้ำหนัก แต่มนุษย์อยู่ได้ด้วยการไปสร้างเมืองกระจกทำให้มีแรงโน้มถ่วงเหมือนกับอยู่บนโลกได้ เพราะสภาพไร้น้ำหนักทำให้กระดูกเราอ่อนไม่แข็ง กล้ามเนื้อจะหายไป ในเบื้องต้นจะส่งคนออกไปสร้างอุตสาหกรรมในอวกาศ ใช้วัตถุดิบจากดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งมีอยู่ 2 ดวง จะมีสารทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ยิปซัม แร่ธาตุต่างๆ และการ ขนย้ายแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นไปโดยง่ายบนสภาพไร้น้ำหนัก

ขณะเดียวกันเราเจอน้ำบนดวงจันทร์เยอะมาก จะสร้างฐานบนดวงจันทร์ เป็นจุดเติมพลังงาน เอาน้ำที่อยู่บนดวงจันทร์มาใช้พลังงานแสงอาทิตย์แยกออกซิเจน เป็นพลังงานไฮโดรเจน ใช้พลังงานนี้ไปขับเคลื่อนกับยานต่างๆ ทำให้การเดินทางบนอวกาศเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่ต้องใช้น้ำมัน

วางแผนว่ามนุษย์ครึ่งหนึ่งของโลกจะต้องอพยพไปอยู่บนดาวอังคาร อาจไปไม่หมดเพราะโลกวิกฤติ มนุษย์อยู่ลำบากแล้ว การออกแบบสร้างเมืองจะแบ่งเป็นเมืองขนาดเล็กอยู่สัก 2 แสนคน เป็นเมืองในอวกาศโดยสร้างระบบให้มีน้ำหนัก สามารถเดินไปมา ไม่ใช่ลอยไปมา ส่วนการเดินทางในอวกาศจะสร้างเรือใบรับรังสีพลาสม่าเพื่อให้พาหนะนี้เคลื่อนไปในอวกาศได้

การดำรงชีวิตในอวกาศไม่ต้องใช้น้ำมันจะใช้แสงแดดแทนเพราะมีเหลือเฟือ โดยจะสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ได้ รับรองไม่หล่นลงมาบนพื้นโลกเพราะในอากาศมีสภาพไร้น้ำหนัก สามารถรับแสงแดดได้ตลอดเวลาอีกทั้งไม่มีเมฆมาบดบัง

Image

ดร.อาจองบอกว่าองค์การนาซาวางแผนไว้ปี ค.ศ. 2020 มนุษย์จะลงไปบนดาวอังคารเป็นครั้งแรกเพื่อจะเริ่มไปเยี่ยมไปศึกษาอยู่ที่นั่นสักพักว่าจะอยู่กันได้สะดวกสบายแค่ไหน หลังจากนั้นจะเริ่มเอาคนไปอยู่สร้างตึกสร้างเมือง ตอนแรกจะมีเรือนกระจกแบบกลมๆ เราเข้าไปอยู่ในนั้นปลูกผักปลูกข้าว

ต้นไม้บนดาวอังคารจะโตเร็วกว่าโลกของเรา ที่โตเร็วเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะเดียวกันเราไม่ต้องขนออกซิเจนไป ปลูกต้นไม้ก็คายออกซิเจนให้กับตัวเราได้

เมื่อผู้คนอพยพมามากขึ้นอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น ปกติบนดาวอังคารอุณหภูมิตอนนี้ติดลบ เมื่อมนุษย์อยู่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นแต่ตรงนั้นไม่ต้องห่วงเพราะอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว อุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส มนุษย์เข้าไปอยู่ได้อีกเยอะ และยิ่งอยู่เยอะยิ่งดีทำให้อากาศร้อนขึ้น

ที่สุดแล้วเด็กในวันนี้จะเดินทางไปทำงานอวกาศแทนที่จะเดินทางไปตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่น การเดินทางไปดาวอังคารจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนกับการเดินทางขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ

ระยะทางจากโลกไปดาวอังคารไม่แน่นอนบางครั้งอยู่ใกล้กัน บางครั้งไกลออกไป ตอนที่ผมไปช่วยเขาส่งยานอวกาศลงบนดาวอังคารใช้เวลา 11 เดือน แต่ระยะเวลาที่ใกล้สุดระหว่างดาวอังคารกับโลกคือ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะว่าโลกจะหมุนเข้าใกล้ดาวอังคารช่วงไหนของปี

“เราต้องมองการณ์ไกลเริ่มคิดได้แล้วว่าประเทศอื่นส่งคนขึ้นไปบนอวกาศแล้ว ของเรายังไม่มีคนไทยขึ้นไปสักคนไม่ใช่ว่าเราต้องสร้างเอง แต่เราไปร่วมมือกับเขาให้ส่งคนของเราขึ้นไปบ้างเพื่อที่เราจะได้มีประสบการณ์ได้เรียนรู้ จีนเริ่มส่งขึ้นไปแล้ว มีทั้งญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง คนไทยเรายังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป” ดร.อาจอง กล่าวทิ้งท้าย

ความหวังที่มนุษย์จะไปอยู่บนโลกใบใหม่ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว.

Image


หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วันที่ 28 กันยายน 2551 เวลา 00:00 น.


วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พระพุทธศาสนาในประเทศเนปาล


การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเนปาล
พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเนปาลโดยผ่านทางประเทศอินเดียแต่เดิมนั้นประเทศเนปาลเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า คือ สวนลุมพินีอยู่ในเขตประเทศเนปาลปัจจุบัน

ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์และทรงห้ามพระญาติฝ่ายศากยะกับฝ่ายโกลิยะวิวาทกัน เรื่องการผันน้ำเข้านา ซึ่งหมายความว่าเคยเสด็จในเขตประเทศเนปาลปัจจุบัน หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานพระอานนท์ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาในบริเวณนั้น แสดงว่าชาวเนปาลส่วนหนึ่งนับถือพระพุทธศาสนามานานแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว

ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชได้พระราชทานพระราชธิดาพระนามว่า จารุมตี ให้แก่ขุนนางใหญ่ชาวเนปาล พระเจ้าอโศกและเจ้าหญิงจารุมตีได้ทรงสร้างวัดและเจดีย์หลายแห่ง ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ที่นครกาฐมาณฑุในปัจจุบัน

ในสมัยที่ชาวมุสลิมเข้ารุกรานแคว้นพิหาร และเบงกอล ในประเทศอินเดีย พระภิกษุจากอินเดียต้องหลบหนีภัยเข้าไปอาศัยในเนปาล ซึ่งภิกษุเหล่านั้นก็ได้นำคัมภีร์อันมีค่ามากมายไปด้วย และมีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจนถึงทุกวันนนี้ และเมื่อมหาวิทยาลัยนาลันทา (ในประเทศอินเดีย) ถูกทำลายซึ่งทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากประเทศอินเดียแล้ว ก็ส่งผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศเนปาลพลอยเสื่อมลงด้วย คุณลักษณะพิเศษที่เป็นเครื่องหมายประจำพระพุทธศาสนา เช่น ชีวิตพระสงฆ์ในวัดวาอาราม การต่อต้านการถือวรรณะ การปลดเปลื้องความเชื่อไสยศาสตร์ต่างๆ เป็นต้นก็เลือนหายไป

พระพุทธศาสนาในประเทศเนปาลในยุคแรกเป็นพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมหรือแบบเถรวาทต่อมาเถรวาทเสื่อมสูญไป เนปาลได้กลายเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนามหายานนิกายตันตระ ซึ่งใช้คาถาอาคมและพิธีกรรมแบบไสยศาสตร์ นอกจากนี้ได้มีนิกายพุทธปรัชญาสำนักใหญ่ๆ เกิดขึ้นอีก ๔ นิกาย คือ สวาภาวิภะ ไอศวริกะ การมิกะ และยาตริกะ ซึ่งแต่ละนิกายก็ยังแยกเป็นอีกหลายสาขา แต่นิกายต่างๆเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานเข้าด้วยกันของความคิดทางปรัชญาหลายๆหย่าง เท่าที่เกิดขึ้นตามอิทธิพลของพระพุทธศาสนา









พระพุทธศาสนาในประเทศเนปาลในปัจจุบัน
ได้มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาฝ่ายเถระวาทขึ้นในประเทศเนปาลโดยส่งภิกษุสามเณรไปศึกษาในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เช่น ประเทศไทย ประเทศพม่า ประเทศศรีลังกา โดยเฉพาะประเทศไทยนั้น พระภิกษุสามเณรชาวเนปาล ซึ่งได้บรรพชาและอุปสมบทแบบเถรวาทได้มาศึกษาพระปริยัติธรรม และศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ๒ แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย นอกจากนั้นคณะสงฆ์เนปาลยังได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศไทยไปให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวเนปาล ณ กรุงกาฐมาณฑุ พร้อมทั้งทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดชาวเนปาล นอกจากนี้สมาคมธัมโมทัยสภา ได้อุปถัมภ์ให้พระภิกษุจากประเทศศรีลังกาและพระภิกษุสงฆ์ในประเทศเนปาลที่ได้รับการอบรมมาจากประเทศศรีลังกา ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง พร้อมทั้งมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาถิ่น พิมพ์ออกเผยแพร่เป็นจำนวนมากด้วย

..มีไปทำไม?... (ว.วชิรเมธี)

MeePaiTamMai_re01.jpg

MeePaiTamMai_re02.jpg
 

DHAMMA DHAMMO © 2008. Design By: SkinCorner