วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552
เกล็ดเล็กๆน้อยๆในพุทธศาสนา
การตักบาตร
การตักบาตรเป็นประเพณีในพระพุทธศาสนาที่ชาวต่างประเทศได้ให้ความสนใจ เพราะประเพณีนี้ ปฏิบัติกัน เฉพาะในประเทศชาวพุทธฝ่ายเถรวาท อันได้แก่ ไทย ศรีลังกา พม่า ฯลฯ และการตักบาตร ในเมืองไทย นับได้ว่าเป็นประเพณีที่เรารักษารูปแบบไว้ได้สมบูรณ์กว่า ประเทศอื่น ๆ การตักบาตร นอกจากจะได้บุญแล้ว ก็ยังเป็นไปเพื่อรักษาประเพณีชาวพุทธด้วย
บาตร ( Bowl)
เป็นหนึ่งในสมบัติ 8 อย่าง ที่พระพึงมี นอกเหนือไปจาก ไตร จีวร ฯลฯ บาตรที่เห็นกันอยู่ ทั่วไปในเมืองไทย มักเป็นบาตรโลหะ เป็นตัวนำความร้อนที่ดี ญาติโยมก็นิยมใส่ข้าวหุงมาร้อน ๆ พระที่อุ้มบาตรหลายรูปจึงนิยมใช้ผ้ารอง หรือมีถุงหุ้มบาตรกันความร้อนเสียชั้นหนึ่งก่อน ที่ไต้หวันใช้บาตรเป็นภาชนะดินเผาเคลือบ ในระหว่างพิธีบวช ซึ่งทางฝ่ายจีนจัดพิธีนานถึง 30 วัน พระบางรูปทำบาตรแตกถึง 3-4 ใบ กว่าจะบวชเสร็จ โดยวินัยแล้ว พระแต่ละรูปจะมีบาตรได้เพียงใบเดียว หากชำรุดแต่ยังใช้การได้ก็ให้ใช้ต่อไป ถ้าสะสมเกิน 1 ใบ ใบที่เกินมาจะต้องสละให้เป็นของสงฆ์ไป
บิณฑบาต( Going for alms - rounds)
บิณฑบาต แปลว่า ก้อนข้าวที่ตกแล้ว ร่วงแล้ว "บาต" ตรงนี้จึงสะกดต่างจาก "บาตร" ของพระ การท
พระภิกษุออกบิณฑบาต เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวพุทธ ได้ทำบุญ ในลักษณะนี้จึงถือว่า พระภิกษุสงฆ์ เป็นนาบุญของชาวพุทธ ความจริงแล้วการทำบุญตักบาตรแก่พระภิกษุก็ดี แม่ชีก็ดี ย่อมมีคุณค่า ทัดเทียมกัน หากแม่ชีก็ดี พระภิกษุก็ดีเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ล้วนเป็นการส่งเสริม พระศาสนาทั้งสิ้น หรือแม้พระภิกษุไม่ได้ปฏิบัติชอบ ย่อมเป็นความรับผิดชอบ ของท่าน เราผู้ใส่บาตร ถือเป็นการทำกิริยาบุญ ย่อมได้บุญในส่วนของเรา แต่หากเรารู้แน่ชัดว่าพระรูปนั้น ๆ ไม่ใช่พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แล้วยังคงทะนุบำรุง ก็ชื่อว่าไม่รักษาพระศาสนา ประเพณีการตักบาตร เป็นสิ่งจำเป็น ในสังคมชาวพุทธ เพราะผู้บวชในพระพุทธศาสนานั้น นับว่าเป็นผู้ละบ้านเรือนแล้ว คำว่า " ภิกษุ " แปลว่า "ผู้ขอ" พระสงฆ์จึงยังชีพอยู่ได้โดยอาศัยชาวบ้าน และเพราะภิกษุเป็นผู้อาศัยชาวบ้านในเรืองการขบฉัน พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติให้พระสงฆ์ฉันอย่างมากเพียงวันละ 2 มื้อ เพื่อมิให้เป็นการรบกวน ชาวบ้านมากจนเกินไป ประกอบการบำเพ็ญสมาธิ ในตอนกลางคืนอีกด้วย
สำหรับ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น จะเห็นข้อแตกต่างเพราะเป็นพระสงฆ์ฝ่ายมหายาน ฉันอาหารมื้อเย็นได้ และอาจมีคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างนี้ อธิบายได้ว่ามีสาเหตุหลายประการ โดยทางพระวินัย ทั้งสองฝ่ายคือทั้งมหายาน และเถรวาท ถือเหมือนกัน "วิกาลโภชนา เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ" พึงเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล ความแตกต่างอยู่ที่การตีความพระวินัย คำว่า "วิกาล" ในพระวินัยฝ่ายเถรวาทเองตรงที่อื่น หมายความถึงเวลาคํ่า เช่นในช่วงเวลาเข้าพรรษา พระภิกษุไม่พึง ไปบ้านฆราวาสในเวลาวิกาล คือเวลาพลบคํ่าไปแล้ว เฉพาะในข้อการฉันอาหารเท่านั้น ที่ตีความเป็นเวลาหลังเที่ยง ฝ่ายมหายานถือศีลข้อเดียวกัน แต่ตีความว่า หมายถึงเวลาพระอาทิตย์ ตกดินไปแล้ว พระฝ่ายมหายานฉันอาหารมื้อเย็นได้ แต่เรียกว่าเป็นเภสัช (Medicinal meal) แก้โรคหิว ควรสำรวมว่าให้ฉันพอหายหิว มิฉะนั้นก็เป็นอาบัติเหมือนกัน
นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาความแตกต่าง ทางสังคมด้วย เมื่อพุทธศาสนาเผยแผ่ไปสู่ประเทศจีน ประเทศจีนมีวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว มีทั้งศาสนาเต๋า และคำสอนของขงจื้อ ชาวจีนถือเป็น เรื่องเสียหาย และอัปยศต่อวงศ์ตระกูลอย่างมากที่จะขอเขากิน แม้ความคิดเรื่องการบิณฑบาต ในพุทธศาสนาจะอธิบายว่าเป็นการออกโปรดสัตว์ก็ตาม ในสาระที่แท้ ชาวจีนก็ยังเห็นว่า เป็นการขอทาน อยู่นั่นเอง ดังนั้น พระสงฆ์จีนจึงไม่ออกบิณฑบาต แต่จะมีโรงครัวเป็นส่วนกลาง พระเณรจะต้องทำงานหนักในไร่นา ทำการปลูกผักปลูกข้าวกันเอง และมีเวรผลัดเปลี่ยนกันทำอาหาร พระเณรทางฝ่ายมหายานจะทำงานหนักกว่าพระสงฆ์ทางฝ่ายเถรวาทมากนัก ประกอบกับความบีบคั้น ทางภูมิอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ และหากพระเณรต้องทำงานหนักทั้งวัน แล้วยังต้องเว้น อาหารมื้อเย็นด้วย ก็ดูไม่สอดคล้องกับความเป็นอยู่ที่แท้จริง
อีกประการหนึ่ง ฝ่ายฆราวาสมักจะเห็นว่าเรื่องฉันข้าวเย็นเป็นเรื่องสำคัญ พระรูปใดฉันข้าวเย็น ดูจะเป็นความผิดใหญ่โต แต่ทางฝ่ายพระไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก ปรับอาบัติเพียงแค่ปาจิตตีย์ ซึ่งเป็นอาบัติเบา พอถึงวันพระขึ้น-แรม 15 คํ่า ลงปาติโมกข์ปลงอาบัติเสีย
ผ้าจีวร (robe)
ผ้าจีวรที่พระสงฆ์ใช้ เดิมเป็นผ้าที่มาจากป่าช้า เป็นผ้าห่อศพ พอเผาศพแล้ว ผ้าคลุมศพนี้ ก็จะทิ้งไว้ ตามป่าช้า พระภิกษุสงฆ์นับว่าเป็นผู้ละบ้านเรือน ไม่มีสมบัติใดเป้นของตนเอง จึงต้องไปเก็บผ้า ที่เขาทิ้งแล้วตามป่าช้านี้ มาซักให้สะอาด แล้วตัดเย็บเข้าด้วยกัน แล้วจึงนำมาย้อม เพราะฉะนั้น ในอัฐบริขารของพระที่บวชใหม่ จึงจำต้องมีด้ายเข็มเพื่อการนี้ ในสมัยแรกนั้นการตัดเย็บ มิได้มีกฎเกณฑ์ชัดเจน เพียงต่อเศษผ้าที่หามาได้ให้เป็นผืนก็ใช้ได้ ต่อมาพระพุทธองค์ เห็นว่าจีวรที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ห่มครองนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์หาเอกภาพมิได้ จึงประทานอนุญาต ให้พระอานนท์หาแบบการตัดต่อผ้าจีวรให้เป็นรูปแบบเดียวกัน พระอานนท์มองเห็น คันนาเมืองมคธนั้นเป็นระเบียบงามนัก จึงใช้รูปแบบคันนาของเมืองมคธนั้น มาเป็นรูปแบบ การตัดเย็บจีวร เมื่อได้ตัดจีวรเป็นตัวอย่างมาถวายให้พระพุทธองค์ทอดพระเนตร พระพุทธองค์ ก็ทรงพอพระทัย และมีพุทธานุญาติให้ใช้เป็นแบบอย่างสืบมา ดังนั้น ผ้าจีวรในสมัยนี้ เราเห็นว่า มีขอบมีขัณฑ์ นั่นคือคันนาของเมืองมคธนั่นเอง
ขอเล่าเรื่องจีวร ต่ออีกนิดหนึ่ง เพื่อประดับสติปัญญา และเพื่อกันลืม ในสมัยอยุธยาตอนปลายนั้น พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรมลงมาก มาในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงกอบกู้เอกราช ก็ได้ทรงกระทำการหลายประการเพื่อชำระและฟื้นฟูพระศาสนา ปรากฏว่าในสมัยนั้น พระลาวครองจีวรโดยใช้ผ้าผืนเดียว ไม่ได้ตัดเย็บให้ถูกต้องตามพระวินัย สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงส่งผ้าจีวรที่ตัดถูกต้องไปให้ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คณะสงฆ์ลาวด้วย
นอกจากผ้าจีวร ซึ่งใช้ครองแล้วยังมีผ้านุ่งที่เรียกว่า สบง และเพื่อไม่ให้สบงหลุดได้ง่าย ก็ต้องมี รัดประคด คือเข็มขัด ( Cotton belt) แต่เป็นพระสงฆ์จึงต้องใช้เข็มขัดผ้าถักให้หนาหน่อย เสื้อชั้นในแขนเดียว ของพระ เรียกว่า อังสะส่วน สังฆาฏิ นี้เวลาอากาศหนาว พระภิกษุอาจนำมาคลี่ห่มคลุม ทับจีวร ได้อีกชั้นหนึ่ง บางครั้งเวลาเดินทาง สามารถนำมาพับทบรองนั่งได้ และเวลาไปสวดมนต์ตามบ้าน หรือลงโบสถ์ในวันพระ พระท่านจะพับผ้าสังฆาฏินี้พาดไว้บนบ่า เรียกว่าเป็นผ้าอเนกประสงค์ ของพระได้เหมือนกัน
สมาธิ (Concentration)
การทำให้จิตเป็นสมาธิทำได้หลายแบบ บางคนใช้สวดมนต์ (Chanting) เพื่อกล่อมจิตให้นิ่งเป็นหนึ่ง บางคนทำสมาธิโดยกำหนดจิตอยู่กับสี เช่น สีแดง สีขาว บางคนกำหนดจิตกับรูป เช่น รูปพระ รูปดอกบัว วิธีหลังนี้เป็นวิธีของวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ต่อมาภายหลังวัดพระธรรมกายก็ใช้วิธีนี้ เรียกว่า visualization ไม่ว่าจะกำหนดจิตอยู่กับอะไรก็ตามที ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือขั้นต้นทั้งสิ้น เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ก็สามารถละทิ้งเครื่องมือเหล่านั้นได้
จิตของคนที่มีสมาธิดี จะเป็นคนที่มีพลัง ทำการงานได้ฉับไวคิดการได้ชัดเจน สมาธิจึงเป็นเทคนิค ที่จำเป็นอย่างหนึ่งของผู้ที่ประสงค์จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน นี่พูดถึงระดับโลก ถ้าพูดถึง การทำสมาธิในระดับสูงขึ้น เป็นไปเพื่อการละวางกิเลส ทำจิตให้เป็นสมาธิให้สงบ ให้มีพลัง ให้เกิดปัญญาเห็นธรรม ละวางทุกข์และรู้แจ้งเห็นจริงเป็นที่สุด
กรรมฐาน (Meditation)
ก็คือการทำให้จิตเป็นสมาธิเป็นพื้นฐานก่อน พุทธศาสนาแบ่งกรรมฐานออกเป็นถึง 40 กอง และวิปัสสนา เป็น 6 ชนิด นั่นคือ วิธีการทำจิตให้เป็นสมาธิตามวิธีต่างๆกัน พิจารณาจากอุปนิสัย ของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีกรรมฐานแบบใดที่นับได้ว่าดีที่สุด เพราะแต่ละแบบจะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า จะเหมาะกับตัวเราหรือไม่เป็นสำคัญ
สมถะ เป็นวิธีปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อโลกียะ คือยังข้องอยู่กับโลก เช่น ฝึกกรรมฐานเพื่อให้มีพลังจิตกล้าแข็ง ฝึกกรรมฐานเพื่อรักษาไข้ การเพ่งอสุภ การเพ่งกสิณ ล้วนเป็นสมถะทั้งสิ้น
ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน ที่เรียกว่า Insight meditation เป็นไปเพื่อการละวางกิเลส และเพื่อทำจิต ให้หลุดพ้น เป็นประการสำคัญ วิปัสสนากรรมฐานที่นิยมกันในประเทศไทยคือ อาณาปาณสติ มีการพิจารณาเบื้องต้น คือการกำหนดรู้ อยู่กับลมหายใจ (mindfulness on inhaling and exhaling)
บุญ - กุศล
คำว่า บุญ เราแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Merit กุศล หรือ กุศลกรรม ก็คือการกระทำ ในสิ่งที่ดีงาม (good, beneficial act) คำว่าบุญ อาจารย์บางท่านแปลว่า ฟู การทำบุญจึงเป็นการที่ทำเพื่อให้เกิดฟู และมีจุดประสงค์ เพื่อชีวิตที่ดีมีความสุขในโลกนี้ และโลกหน้า เช่น คุณวิจิตราร่วมบริจาคสร้างโบสถ์ 10 บาท แล้วอธิษฐาน ขอให้เกิดชาติใดได้มีบ้านอยู่ การกระทำนี้เป็นการทำบุญเพื่อหวังสิ่งตอบแทน เพื่อความสุขสวัสดีแก่ชีวิต ในโลกทั้งภพนี้และภพหน้า แต่ถ้าคุณวิจิตราบริจาคในทำนองเดียวกัน โดยมีความเข้าใจว่า การบริจาคนั้นเป็นไปเพื่อละวางกิเลส การกระทำของคุณวิจิตรา ถือว่าเป็นกุศล เพราะมิได้หวังผลให้งอกเงย มิให้มีความยึดติดในตัวตน เมื่อท่านโพธิธรรม ซึ่งถือเป็นสังฆนายกองค์แรก ของนิกายเซ็นในประเทศจีน เดินทางไปถึงประเทศจีนตอนแรก พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นชาวพุทธ ที่ทำบุญสร้างวัดวาอาราม ช่วยเหลือพระศาสนาอย่างมาก รับสั่งถามท่านโพธิธรรมว่า "งานทั้งหลาย ที่ท่านทำมาแล้วนั้นได้กุศลมากน้อยเพียงใด'' ท่านโพธิธรรมตอบว่า "ไม่ได้'' ที่เป็นเช่นนี้ท่านโพธิธรรม ตอบตามความเข้าใจดังอธิบายข้างต้นนี้ คือพระเจ้าแผ่นดินทรงทำบุญ แต่ด้วยยังทรงหวัง ให้บุญนั้นกลับมาทดแทนเพื่อให้ชีวิตในภพหน้าดีขึ้น จึงไม่เป็นกุศล ดังนี้
ชาวพุทธนิยม การทำบุญทำกุศล เพราะเปรียบเสมือนการฝากเงินไว้ในธนาคาร เพื่อให้ชีวิต ภายหน้า ร่มรื่นสุขสบาย ด้วยเชื่อในหลักของกรรมว่าทำดีดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
ในพระไตรปิฎก มีเรื่องเล่าถึงการทำบุญของมฆะมานพ ผู้ซึ่งรวบรวมมิตรสหายข้าทาสบริวาร ร่วมกัน สร้างศาลาโรงธรรม ครั้นตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เป็นต้น
ทศบารมี
หมายถึงคุณความดีที่ควรบำเพ็ญ มี ๑๐ ประการ ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ (การออกบวช) ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ในจิตรกรรมฝาผนัง มักมีภาพวาดที่เป็นเรื่องเล่าจากพระเจ้า ๑๐ ชาติ เรื่องที่นิยมเขียนกันมากที่สุด ดูเหมือนจะได้แก่เรื่อง พระเวสสันดร ซึ่งเป็นเรื่องที่เน้น การทำบุญให้ทานเป็นสำคัญ
นรก - สวรรค์ (hell - heaven )
ความเชื่อในเรื่องนรก - สวรรค์นี้ เป็นความเชื่อที่เชื่อมโยงกับความเชื่อในเรื่องกกแห่งกรรม คือถ้าทำดีมิใช่จะได้รับผลดีเฉพาะในชาตินี้ แต่ผลของกรรมอาจส่งผลติดตาม ไปในชาติหน้าภพหน้า อีกด้วยดังนี้ คนไทยจึงมักมีความเชื่อว่า แม้ทำดีไม่ได้รับผลกรรมสนองในชาตินี้ ก็ย่อมจะต้องมีผล ในชาติหน้า (future life)
พระเจ้าลิไทย แห่งกรุงสุโขทัย ได้ทรงนิพนธ์ ไตรภูมิพระร่วง ไว้ กล่าวถึงนรกขุมต่างๆ นรกขุมที่ลึกที่สุด เรียกว่าอเวจี มรการพรรณนาความ สำหรับผู้ที่กระทำผิดศีล แต่ละข้อว่าจะต้องตกนรกขุมใดบ้าง เช่น คนที่ดื่มสุรา ก็จะตกลงไปในกระทะทองแดง ที่มีการเคี่ยวนํ้ามันร้อน และถูกลวกปากด้วยนํ้ามันเดือด เป็นต้น สำหรับผู้ที่กระทำกรรมดี ก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งในชั้นฟ้า ในความเข้าใจ ทางพุทธศาสนานั้น สวรรค์ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ของชีวิตทางศาสนา เพราะบรรดาเทวดาเหล่านั้น เมื่อหมดบุญก็อาจเป็นเทวดาตกสวรรค์ได้เช่นกัน
ดอกไม้ ธูป เทียน
เวลาที่เข้าไปไหว้พระ หมายถึงพระพุทธรูปก็ดี หรือ พระภิกษุ ภิกษุณีสงฆ์ก็ดี รวมไปถึงปูชนียสถาน
ทั้งหลาย ชาวไทยนิยมถวายบูชาด้วย ดอกไม้ ธูปเทียน จึงควรทำความเข้าใจในพิธีกรรมต่างๆนี้ด้วย เวลาไหว้ครูก็จะใช้ดอกไม้ธูปเทียนเช่นกัน หากจัดของถวายใส่พาน ควรจัดตามลำดับคือ ดอกไม้อยู่ด้านนอก ถัดเข้ามาเป็นธูปและเทียน โดยมีความหมายว่า ถวายสักการะด้วย ดอกไม้สด คือถวายรูป ธูปคือถวายกลิ่น และเทียนคือการถวายสักการะด้วยแสง สำหรับชาวอินเดีย นิยมเป่าสังข์ด้วย เป็นการถวายสักการะ;ด้วยเสียงและถวายข้าวตอกหมายถึงการถวายสักการะด้วยรส การถวายข้าว
ตอกดอกไม้ ธูป เทียน และเป่าสังข์ จึงหมายถึงการถวายสักการะทางอายตนะประสาททั้ง 5 นั่นเอง
เวลาจุดธูปปักนั้น ท่านเจ้าคุณพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศน์วิหาร เคยสอนให้ปักเรียงกันเป็นแถว ถ้าจุด 3 ดอก คือถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดังนั้น มิให้ปักรวมกัน ไปเป็นกระจุก อีกอย่างหนึ่ง เวลาดับเทียน เห็นมาหลายงานแล้วมักจะใช้ปากเป่า เคยได้ยินผู้ใหญ่สอนว่า ลมปากนั้นมีความไม่สะอาด เวลาดับเทียนให้ใช้มือโบกให้ดับจะดีกว่า
บูชาพระ ธูป ๓ ดอก เทียน ๒ เล่ม และดอกไม้ ไหว้ศพ ธูป ๑ ดอก เทียน ๑ เล่ม
กรวดนํ้า (dedication Of merit by pouring water)
ก่อนที่พระมหาโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีกองทัพพญามาร มาราวี เป็นอย่างมาก จนร้อนถึงพระแม่ ธรณี (อ่านตอนพระแม่พระธรณีประกอบ) ขึ้นมาสยายผม แล้วบีบนํ้าจากมวยผม ท่วมกองทัพพญามารจนต้องล่าทัพกลับไปในที่สุด นํ้าที่หลั่งจากมวยผม ของแม่พระธรณี คือ นํ้าที่พระมหาโพธิสัตว์ทำบุญกุศลไว้ครั้งก็ตามในอดีต ก็จะเทนํ้าฝากแม่พระธรณีไว้ ให้พระแม่ธรณีเป็นพยาน ให้แก่พระมหาโพธิสัตว์ถึงบุญบารมี อันมหาศาลของท่านที่ได้สั่งสม ไว้ในอดีตชาติ
คนไทยจึงถือเป็นประเพณี ที่จะกรวดนํ้า ทุกครั้งที่ทำบุญ สาระหรือเนื้อหาของการกรวดนํ้า ก็คือการแผ่ส่วนกุศล ที่ได้กระทำแล้วนั้น (ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญตักบาตร รักษาศีลฯลฯ) ให้แก่ผู้อื่น โดยกล่าวเป็นใจความภาษาไทยได้ว่า "กุศลอันข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ในการตักบาตรวันนี้ ขออุทิศให้บิดามารดา ครู อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร เทพที่รักษาตัวของข้าพเจ้า ตลอดบุคคล ผู้เป็นที่รัก......" ตอนท้ายมักจะกล่าวว่า "นิพพานปัจจโยโหตุ" หลายคนไม่เข้าใจว่า หมายความว่า อย่างไร แต่ก็ว่าตามกันไปเรื่อยๆตรงนี้แปลว่า บุญกุศลที่เราทำไว้แล้วนี้ ขอให้เป็นปัจจัย ให้ได้บรรลุพระนิพพาน ในที่สุด เทอญ
เวลากรวดนํ้า มักกระทำตอนที่พระสงฆ์ให้พร เราก็จะเทนํ้าจากภาชนะ หนึ่งลงสู่ภาชนะที่รองรับ ให้ผ่านนิ้วชี้ขวา เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าได้ทำบุญกับมือจริงๆ เสร็จแล้วนำไปเทที่ต้นไม้ใหญ่ เวลาเทนํ้าจะอธิษฐานแผ่ส่วนบุญ ให้กับพระแม่ธรณีด้วยทุกครั้งไป การเทนํ้าที่ต้นไม้นั้น โดยแท้จริงแล้ว เป็นการรดนํ้าต้นไม้ไปด้วยในตัว เป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติในรูปแบบหนึ่ง ในขณะเดียวกัน ทำให้รู้จักเคารพทั้งต้นไม้และพื้นปฐพี
การรักษาโรคด้วยสมาธิ (Healing through meditation)
จะต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า การเจ็บไข้นั้นสัมพันธ์กันในลักษณะที่จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว คือจิตเป็นผู้บงการ การทำสมาธิคือการฝึกฝนจิต โดยหยาบๆ อาจจะกล่าวว่า การทำสมาธิ เป็นไปเพื่อการละวาง เพื่อความหลุดพ้นในที่สุด
การรักษาด้วยสมาธิ เป็นการทำสมาธิประการแรก คือเป็นไปเพื่อรักษากาย โดยหลักเหตุผลทั่วๆไป เมื่อกายกับจิตมีความสัมพันธ์กัน การอบรมจิตให้สงบ ไม่ให้ฟุ้งซ่าน ผลที่ตามมาประการแรก คือนอนหลับ คนที่นอนหลับก็เยียวยาอาการเจ็บไข้อื่นๆ ลงไปได้มากแล้ว เช่นนี้เป็นต้น จิตบำบัดทุกประเภท ต้องมีสมาธิมาช่วยทั้งสิ้น แต่การรักษาโรคที่แท้จริง คือการใช้ธรรมะรู้จักปล่อยวาง มิใช่จะรักษาโรคทางกายเท่านั้น แต่จะทำให้บุคคลปฏิบัติสมาธิภาวนา เข้าถึงโลกุตรธรรมด้วยในท้ายที่สุด
วิธีการศึกษาพระพุทธศาสนา
เราควรจะรู้โดยหลักการว่า คัมภีร์หลักของพระพุทธศาสนานั้น ประมวลไว้ในพระไตรปิฎก คือ
พระวินัย อันว่าด้วยข้อควรปฏิบัติของพระสงฆ์ และข้อห้ามของพระสงฆ์
พระสูตร เป็นการรวบรวมคำสอน ธรรมะทั้งของพระพุทธเจ้าและพระสาวกองค์สำคัญ
พระอภิธรรม เป็นการรวบรวมคำสอนที่เกี่ยวกับจิต ทำความเข้าใจกับการทำงาน ของจิตโดยละเอียด
ส่วนในภาคปฏิบัตินั้น เพื่อความหลุดพ้นอาจจะไม่จำเป็นต้องอาศัยความรู้จากพระไตรปิฎกนัก เพียงแต่ทำความเข้าใจ เรื่องทุกข์ และการดับทุกข์ ก็จะนับได้ว่าเป็นชาวพุทธ ที่เข้าถึงพระธรรม ได้เช่นกัน เพราะจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือการดับทุกข์
สังฆทาน
คือการให้ทาน แก่หมู่ชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์แห่งสาธารณชน เป็นทานอันเลิศ มีผลมาก คือ สาธารณทาน ไม่จำกัดเฉพาะพระ หรือในเขตกำแพงวัดอย่างเดียว มันกว้างจนไม่มีขอบเขต ให้เป็นสาธารณะ ย่อมมีประโยชน์มาก ผลก็มากเป็นธรรมดา ตัวอย่างเช่น เราสร้างโรงเรียน ๑ หลัง โรงเรียนนั้นเป็นสังฆทาน หรือสร้างโรงพยาบาล บ่อน้ำสาธารณะ ถนน สะพาน ซึ่งเป็นประโยชน์ แก่คนหมู่มาก ก็ถือว่าเป็นสังฆทาน ไม่ว่าผู้รับนั้นจักเป็นพระ หรือชาวบ้าน แต่การกระทำอย่างใด ที่เป็นไปในวงแคบ ไม่กว้างขวาง และไม่เป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ถือเป็นทานเฉพาะคนไป เรียกว่า
ปาฏิปุคคลิกทาน ดังนั้นการ ถวายสังฆทาน แด่พระภิกษุสงฆ์ ไม่ควรเจาะจงท่านรูปใด ทานที่ฆาราวาส ได้ถวายแก่ภิกษุสงฆ์แล้วนั้นถือเป็นของหมู่สงฆ์ทั้งหมด
ธรรมทาน
ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวไว้ว่า ...ธรรมทานนั้นมีผลมากกว่าทานอื่นๆ จริงๆ วัตถุทานก็ช่วยกันแต่เรื่อง มีชีวิตอยู่รอด, อภัยทานก็เป็นเรื่องมีชีวิตอยู่รอด แต่มันยังไม่ดับทุกข์... เมื่อรอดชีวิตอยู่แล้ว มันจะต้อง ไม่มีความทุกข์ด้วย จึงจะนับว่าดีมีประโยชน์ ข้อนี้สำคัญด้วยธรรมทาน มีความรู้ธรรมะแล้ว รู้จักทำให้ ไม่มีความทุกข์ รู้จักป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ รู้จักหยุดความทุกข์ ที่กำลังเกิดอยู่ ธรรมทานจึงมีผลกว่า ในลักษณะอย่างนี้มันช่วยให้ชีวิตไม่เป็นหมัน วัตถุทาน และอภัยทานช่วยให้รอดชีวิตอยู่ บางทีก็อยู่เฉยๆ มันสักว่ารอดชีวิตอยู่เฉยๆ แต่ถ้ามีธรรมทานเข้ามา ก็จะสามารถ ช่วยให้มีผลดีถึงที่สุดที่มนุษย์ ควรจะได้รับ
ขอให้ทุกคนพยายามให้ธรรมทาน คือทำให้บุคคลอื่นมีธรรมะ แล้วก็จะได้ผล ชนิดที่ละเอียด ลึกซึ้ง ประณีต ประเสริฐ ยิ่งกว่าให้วัตถุทาน นี่พูดไม่กลัวอด ว่าคนจะเลิกให้ทาน แล้วก็จะมาให้ธรรมทาน กันเสียหมด พระจะไม่มีอะไรฉัน ก็ไม่กลัว ขอบอกความจริงว่า ในธรรมทานนั้น มันยังมีผลมากกว่า วัตถุทาน อยู่นั่นเอง
การชำระหนี้สงฆ์
พวกเราบางคนเคยหยิบฉวยสิ่งของที่เป็นสมบัติของวัดหรือของสงฆ์ เช่น ก้อนหิน ก้อนดิน ผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ หรือบางทีทรายติดรองเท้าเร;ากลับออกมาจากวัด ฯลฯ แล้วเราเองก็ไม่ได้ทำบุญ บางทีเหตุการณ์ เช่นนี้ อาจจะเกิดขึ้นตอนเราเป็นเด็กๆ ชอบซุกซนบ้าง เป็นต้น ซึ่งทางวัดและพระสงฆ์ นั้นไม่มีเงินเดือน และไม่มีรายได้ใดๆ ทั้งสิ้น เงินที่ได้มาก็คือเงินที่พุทธศาสนิกชนและญาติโยมต่างๆ ไปร่วมทำบุญทั้งสิ้น ฉะนั้น ในบางครั้งเราเข้าวัดและบางทีไปใช้ธูปเทียนวัดเพื่อจุดธูปไหว้พระ อาจจะดื่มน้ำมนต์ และอาศัยไฟฟ้าของวัด เช่น พัดลม เป็นต้น แล้วลืมทำบุญ ฉะนั้นจะทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทันทีโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ติดหนี้สงฆ์ไปถึงภพหน้าชาติหน้า ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบว่าเราจะไปเกิดที่ใดภพใด และจะมีโอกาส ได้พบพุทธศาสนาหรือไม่ ฉะนั้น เพื่อเป็นการไม่ประมาท จึงควรถือโอกาสชำระหนี้สงฆ์ ตั้งแต่วันนี้ทันที ที่มีโอกาสไปวัด เมื่อได้ไปทำบุญที่วัดใด คอยสังเกตตู้ที่ทางวัด เขาตั้งใจให้ เราใส่เงินทำบุญ เพื่อชำระหนี้สงฆ์ จะได้ไม่ติดค้างไปภพหน้าต่อไป
การเวียนเทียน
๑. เวียนเทียนทำขวัญนาค ให้เวียนไปทางซ้าย ปัดควันเทียนใส่นาค ภาวนาว่า สิริโภคา น มาสโย มหาลาโภ ภวันตุเต
๒. เวียนเทียนวันสำคัญทางศาสนาให้เวียนทางขวา
๓. เวียนศพ หรือเวียนเมรุ ให้เวียนทางซ้าย
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552
นิกกี้ Playboy (กลับใจ)
นิกกี้ พิ้มพ์ หรือ สุระ ธีระกุล ดารา นักร้อง ที่ใครๆ ในประเทศไทยรู้จักกันดีในฐานะแบดบอยเบอร์หนึ่งและมีหลายคนให้ความสนใจในความเป็นไปของชีวิตของเค้า โดยเฉพาะในด้านมืดของเค้า วันนี้เราขอนำเสนอถึงเรื่องราวของเค้าโดยมุ่งหวังเพื่อที่จะให้ทุกท่านได้แง่คิดในการดำเนินชิวิตต่อไป โดยผ่านรายการ "วู้ดดี้ เกิดมาคุย" ซึ่งได้มีการสัมภาษณ์ นิกกี้ ถึง 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่งเมื่อท่านได้ดูการสัมภาษณ์ตั้งแต่เทปแรกจนมาถึงเทปที่สอง ในบางส่วนของการสัมภาษณ์อาจจะมีภาษาและท่าทางที่ดูรุนแรง แต่บทสรุปทั้งหมดทางเราเชื่อว่าท่านก็จะได้คำตอบสว่างขึ้นในใจเลยทีเดียว ขอให้ทุกท่านลองตั้งใจชมรายการไปพร้อมกันเลยครับ
เทปสัมภาษณ์ครั้งแรก
เทปสัมภาษณ์ครั้งที่สอง
มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงจะได้ขอสรุปอะไรดีดีกลับไปขบคิดทบทวนแล้วนะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้ ทำไมเมื่อก่อนและปัจจุบันถึงได้เกิดความแตกต่างขึ้นอย่างชัดเจน แล้วช่วงท้ายสัมภาษณ์วู้ดดี้ก็ถามต่อว่า คนดูจะได้อะไรจากเทปนี้ แบดบอยกลับใจตอบว่า “คุณผู้ชมจะได้เรียนรู้การให้อภัยและให้โอกาส คนล้มอย่ากระทืบซ้ำ ผมไม่ได้มาขอเงินขอทอง ไม่ได้ขอให้สนับสนุน ผมขอโอกาสครับ” และทางเราก็เชื่อว่าหลายๆท่านคงมีข้อคิดที่ซ่อนอยู่จากการสัมภาษณ์ทั้งหมดนี้
ต้องขอชื่นชมกับรายการนี้ที่ได้มอบตัวอย่างที่ดี ที่ช่วยเป็นทางสว่างให้กับคนในสังคม ให้รู้จักการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง และเตือนสติให้อีกหลายๆ คน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหลงเดินทางผิดเหมือนอย่างนิกกี้
และขอชื่นชมในความกล้าหาญดั่งนักรบ ของนิกกี้ ที่กล้าเผยเรื่องราวต่างๆ ออกมา เพื่อประโยชน์ในด้านทีดีกับสังคม ให้ได้เข้าใจถึงผลลัพธ์ที่ตามมาของการกระทำในด้านมืด และยังให้ความหวังสำหรับคนที่ผิดพลาดไปแล้วว่ายังมีหนทางที่จะกลับมาทำดีได้......
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552
หัวใจนักสู้ของ Nick Vujicic นิค วูจิซิค หนุ่มพิการไม่มีแขน-ขา
หัวใจนักสู้ของ Nick Vujicic นิค วูจิซิค หนุ่มพิการไม่มีแขน-ขา
Nick Vujicic นี้เป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ใช้ดำเนิชีวิตแบบไม่ย้อท้อต่อโชคชะตา เพราะ เขาไม่มีแขน - ไม่มีขาเหมือนพวกเรา แต่เขาไม่เคยย้อท้อหรือเคยคิดสั้นฆ่าตัวตายแต่อย่างใด ลองไปดูว่าเขามีประวัติและแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างไรถึงไม่เคยท้อแท้กับโชคชะตาที่ฟ้าประทานมาให้ตน…VDO สร้างกำลังใจของ Nick Vujicic
Nick Vujicic เป็นชาว ออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 จากพ่อแม่ชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสต์ศาสนา — เขาเกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้นแทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ — แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบัน เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา
“No arms, No legs, No worries”
An amazing story of faith in adversity. If Nick’s story doesn’t convince us about God’s love & His power & what faith can do, then nothing else will.
เรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยว กับความเชื่อในภาวะ อันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้ว
My name is Nick Vujicic and I give God the Glory for how He has used my testimony to touch thousands of hearts around the world!
ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสนทั่วโลก!
I was born without limbs and doctors have no medical explanation for this birth “defect”. As you can imagine, I was faced with many challenges and obstacles.
ผมเกิดมาโดยที่ไม่มี แขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ “ข้อบกพร่อง” จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย
“Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds.”
“คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ”
….To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well.
…ให้ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี
However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was “Praise God!”.
อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ “สรรเสริญพระเจ้า!”
Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.
ลูก ชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆ
The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, “if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?” My Dad thought I wouldn’t survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.
คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้” พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง
Understandably, my parents had strong concern and evident fears of what kind of life I’d be able to lead. God provided them strength, wisdom and courage through those early years and soon after that I was old enough to go to school.
พ่อ แม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้ เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้
The law in Australia didn’t allow me to be integrated into a main-stream school because of my physical disability. God did miracles and gave my Mom the strength to fight for the law to be changed. I was one of the first disabled students to be integrated into a main-stream school.
กฎหมาย ในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่อง ทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมาย เพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับ หน้า
I liked going to school, and just try to live life like everyone else, but it was in my early years of school where I encountered uncomfortable times of feeling rejected, weird and bullied because of my physical difference. It was very hard for me to get used to, but with the support of my parents, I started to develop attitudes and values which helped me overcome these challenging times.
ผม ชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความ ท้าทายนั้น
I knew that I was different but on the inside I was just like everyone else. There were many times when I felt so low that I wouldn’t go to school just so I didn’t have to face all the negative attention. I was encouraged by my parents to ignore them and to try start making friends by just talking with some kids. Soon the students realized that I was just like them, and starting there God kept on blessing me with new friends.
ผมรู้ ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่
There were times when I felt depressed and angry because I couldn’t change the way I was, or blame anyone for that matter. I went to Sunday School and learnt that God loves us all and that He cares for you. I understood that love to a point as a child, but I didn’t understand that if God loved me why did He make me like this? Is it because I did something wrong? I thought I must have because out of all the kids at school, I’m the only weird one. I felt like I was a burden to those around me and the sooner I go, the better it’d be for everyone. I wanted to end my pain and end my life at a young age, but I am thankful once again, for my parents and family who were always there to comfort me and give me strength.
มีบางเวลาที่ผมรู้สึก หดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและ พระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผม รู้สึกดีและเข้มแข็ง
Due to my emotional struggles I had experienced with bullying, self esteem and loneliness, God has implanted a passion of sharing my story and experiences to help others cope with whatever challenge they have in their life and let God turn it into a blessing.
เนื่องจากการต้องดิ้นรนใน ด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อ ช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็น พระพร
To encourage and inspire others to live to their fullest potential and not let anything get in the way of accomplishing their hopes and dreams.
One of the first lessons that I have learnt was not to take things for granted.
เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้
บทเรียนหนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง
”And we know that in all things God works for the best for those who love Him.”
That verse spoke to my heart and convicted me to the point where that I know that there is no such thing as luck, chance or coincidence that these “bad” things happen in our life.
“และเรารู้ ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์” คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง “เลวร้าย” นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
I had complete peace knowing that God won’t let anything happen to us in our life unless He has a good purpose for it all. I completely gave my life to Christ at the age of fifteen after reading John 9.
Jesus said that the reason the man was born blind was “so that the works of God may be revealed through Him.” I truly believed that God would heal me so I could be a great testimony of His Awesome Power. Later on I was given the wisdom to understand that if we pray for something, if it’s God’s will, it’ll happen in His time. If it’s not God’s will for it to happen, then I know that He has something better. I now see that Glory revealed as He is using me just the way I am and in ways others can’t be used.
ผมได้พบกับความสงบอย่าง สมบูรณ์ในการได้ รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9
พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิด มาตาบอดก็เพราะ “เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น” ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยายานอันยิ่งใหญ่ ให้กับพลังอันดีเลิศของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็น สิ่งที่คนอื่นไม่มี
I am now twenty-three years old and have completed a Bachelor of Commerce majoring in Financial Planning and Accounting. I am also a motivational speaker and love to go out and share my story and testimony wherever opportunities become available. I have developed talks to relate to and encourage students through topics that challenge today’s teenagers. I am also a speaker in the corporate sector.
ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผม และเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อ ที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย
I have a passion for reaching out to youth and keep myself available for whatever God wants me to do, and wherever He leads, I follow.
ผมมี ความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตาม
I have many dreams and goals that I have set to achieve in my life. I want to become the best witness I can be of God’s Love and Hope, to become an international inspirational speaker and be used as a vessel in both Christian and non-Christian venues. I want to become financially independent by the age of 25, through real estate investments, to modify a car for me to drive and to be interviewed and share my story on the “Oprah Winfrey Show”!
Writing several best-selling books has been one of my dreams and I hope to finish writing my first by the end of the year. It will be called “No Arms, No Legs, No Worries!”
ผม มีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระ เจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่อง ราวของผมผ่านทางรายการ “โอปราห์ วินฟรี โชว์”!
การได้เขียนหนังสือหลาย เล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า “ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!”
I believe that if you have the desire and passion to do something, and if it’s God’s will, you will achieve it in good time. As humans, we continually put limits on ourselves for no reason at all! What’s worse is putting limits on God who can do all things. We put God in a “box”.
The awesome thing about the Power of God, is that if we want to do something for God, instead of focusing on our capability, concentrate on our availability for we know that it is God through us and we can’t do anything without Him. Once we make ourselves available for God’s work, guess whose capabilities we rely on? God’s!
ผม เชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าใตการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน “กล่อง”
สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือ การที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง!
Nick Vujicic is a giant of a man
ถ้าอยากรู้จักเขามากขึ้น ไปอ่านสเปซของเขาได้ที่
http://www.myspace.com/lifewithoutlimbs
ที่มาจาก http://www.humnoi.com
Hero Dog Tries to Help Mortally Wounded Dog - Chile สุดยอดหมา ช่วยชีวิตหมา
Hero Dog Tries to Help Mortally Wounded Dog - Chile
สุดยอดหมา ช่วยชีวิตหมา
คลิปหมาช่วยชีวิตหมา หมาถูกรถชนที่ชิลี เคยออกข่าวทางทีวีเห็นเขาเอามาออกทั้งช่อง 3 และช่อง7 น้องหมาสุดยอดมากครับ โคตร hero เลยละครับ มันพยายามวิ่งไปช่วยหมาอีกตัวที่เป็นเพื่อนมัน ถูกรถชนกลางถนน โดยวิ่งหลบหลีกรถซะด้วยครับ แม้แต่สัตว์ยังมีจิตใจที่ประเสริฐ เราเป็นคนยังไงก็อย่าให้แพ้หมาในข่าวนี้นะครับ
Hero Dog
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน โดย ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางผมร
ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน โดย ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางผมร
ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางผมร
มาเรียนที่อเมริกา
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
ว่าสะอาดจริงมั้ย
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน
มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลุกเมียไปขอพบ
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ
เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก
ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ
ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ ' เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น
พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่ ' ปริญญาวิชาชีวิต '
ปริญญาใบที่สอง ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย
ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ
เพื่อที่ว่าอะไร
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา
เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ ....
สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
นิทานอีสป...เด็กเลี้ยงแกะ
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กเลี้ยงแกะ อยู่คนหนึ่ง ทุกวัน...ทุกวัน...เด็กเลี้ยงแกะคนนี้ จะต้องต้อนฝูงแกะของตน ออกไปหากินหญ้าที่เนินเขาใกล้ชายป่าอยู่สมอมา...และเมื่อเขาได้นำฝูงแกะมาถึงที่หมายแล้ว ก็จะต้องนั่ง เฝ้าเพื่อคอยปกป้องให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของหมาป่า อยู่จนกว่าพวกแกะทั้งฝูงจะกินหญ้าเสร็จ ซึ่งมันก็เป็น หน้าที่ประจำวันที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุดของเขา เมื่อทุกวันๆ จำจะต้องทำอย่างซ้ำซากจำเจและหลีกเลี่ยง ไม่ได้อย่างนั้น เขาจึงรู้สึกเบื่อหน่ายและแสนที่จะเซ็ง...อย่างที่สุดขึ้นมาเข้าวันหนึ่ง จึงคิดหาเรื่องสนุกๆ ทำเล่น เพื่อให้คลายความเครียดและเกิดความสนุกสนานขึ้นมาเสียสักหน่อย...ท่าจะดี และเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว...
จึงแกล้งร้องตะโกน ขึ้นด้วยเสียงอันดัง พร้อมทั้งวิ่งอย่างตระหนกตกใจเข้าไปในหมู่บ้าน ปากก็ร้องตะโกนโหวก เหวกไปตลอดทางว่า "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว...ช้วยด้วยเจ้าข้า..." พวกชาวบ้านเมื่อ ได้ยินว่ามีหมาป่าออกมาดังนั้น จึงพากันวิ่งเข้ามาหมายจะช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่าง ๆที่พอจะมีกัน...แต่แล้วเมื่อ พากันวิ่งมาถึงตรงที่พวกฝูงแกะอยู่นั้น ก็ไม่พบและเห็นว่ามี หมาป่าอยู่ที่ไหนเลยสักตัวเดียว แล้วยังแถมมองเห็น ว่าพวกแกะนั้นกำลังเล็มหญ้ากินกันอย่างสบายใจ เด็กเลี้ยงแกะแอบหัวเราะขึ้นในใจ อย่างถูกใจเป็นที่สุด ที่ หลอกทุกคนได้ "ฮ่าๆๆๆ ฮู่ๆๆๆๆ ขำว่ะคนโดนเด็กหลอก ฮ่าๆๆๆ" เจ้าเด็กเลี้ยงแกะยิ้มหน้าระรื่นพร้อมทั้ง ได้บอกกับพวกชาวบ้านที่กำลังยืนงงกันอยู่นั้น อย่างมองแล้วก็รู้ว่าโดนเด็กหลอกให้เข้าอย่างเต็มเปาเลยหละว่า "พวกท่าน ฮึๆๆ มาช้าไปนิดเดียวแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเอง หมาป่ามันวิ่งหนีไปทางโน้น...แล้วหละ ฮึๆๆๆ"
พวกชาวบ้านเมื่อได้ฟังดังนั้น และเห็นเด็กเลี้ยงแกะทำท่าหัวเราะถูกใจ อย่างสุดที่จะระงับด้วยอาการแบบนั้นเข้า ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาได้โดนหลอกเสียแล้ว ต่างก็ให้เป็นโมโหกันอย่างมาก ด้วยเพราะต้องเสียเวลาทำงานของพวก เขาไปโดยปล่าวประโยชน์เหมือนไร้ค่าแบบน่าโมโหอย่างนั้น เด็กเลี้ยงแกะเมื่อหลอกใครๆ ได้สำเร็จ ก็ให้เป็นรู้สึก สนุกสนานเป็นอย่างมาก แล้วจากนั้น เขาก็ยังแกล้งหลอกแบบเดิม ให้ชาวบ้านพากันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาช่วย ได้อีก 2-3 ครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีหมาป่าออกมาไล่จับกินแกะเข้าจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงแกะ ตาเหลือก หน้าซีดวิ่งร้อง เสียงหลงเลยทีเดียว และได้เข้าไปขอร้องผู้คนเป็นการใหญ่ "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว... ช้วยด้วยเจ้าข้า !" เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนหอแหบ คอแห้งไปหมด แต่พวกชาวบ้านนั้น ด้วยทุกคน ก็ได้เคยโดนหลอกอย่างนี้มาแล้วหลายหน จึงไม่สนใจและเดินหนีกันไปหมดทุกคนเลยนั่นแหละ....
ก็จะมีใครเล่า...ที่จะเชื่อคนที่เคยและชอบโกหกพกลมอย่างนี้...สักคนเล่า...และในที่สุด ฝูงแกะทั้งฝูงของเด็กเลี้ยง แกะผู้ชอบปด ก็เลยจำต้องโดนหมาป่าเขมือบกินเป็นอาหารไปเสียจนหมด ไม่มีเหลือเลยสักตัว เด็กเลี้ยงแกะเลย จำต้องมานั่งร้องให้โอดครวญอย่างน่าสงสารอยู่ตรงข้างซาก ของฝูงแกะของตัวเอง และพูดทั้งน้ำตาว่า "ไม่ควร เล้ย..เพราะข้าไม่ดีเอง ขี้โกหกโป้ปดมดเท็จ เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก กว่าจะรู้ว่ามันไม่ดี...ฮื่อๆๆๆ ก็สายไปเสีย แล้ว ฮื่อๆๆๆ" เขานั่งร้องให้ขี้มูกโป่งด้วยความเศร้าโศรก อย่างที่เรียกว่า ผิดครั้งนี้..เล่นเอา เขาจำต้องหัวเราะไม่ ออกไปอีกนานเลยทีเดียวเลยหละ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนที่มักหรือชอบพูดโป้ปดมดเท็จ
เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครสักคนเชื่อ...ท่านว่าไหมล่ะ ? ...
แปลและเรียบเรียงโดยสุขุมาลย์
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ดร.อาจอง เผยวิกฤติโลกร้อน มนุษย์เตรียมอพยพสู่ดาวอังคาร ปี ค.ศ. 2020
ดร.อาจอง เผยวิกฤติโลกร้อน มนุษย์เตรียมอพยพสู่ดาวอังคาร ปี ค.ศ. 2020 ช่วงระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา มนุษย์รับรู้เรื่องการปรวนแปรของธรรมชาติจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนัก แผ่นดินไหว เกิดพายุรุนแรงในภูมิภาคต่างๆ ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจนทำให้คนล้มตาย ล่าสุดคำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ไทยภายใน 30 ปี น้ำจะท่วมภาคกลางของไทยเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย โอกาสที่ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะโลกร้อน เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพราะปกติจะใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนสัตยาไสย จ.ลพบุรี เพื่อมาบรรยายพิเศษเรื่องการผลิตบัณฑิตคุณภาพบนพื้นฐานคุณธรรม ณ มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ได้สละเวลาให้สัมภาษณ์ประเด็นของโลกร้อนและทางรอดของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.อาจอง กล่าวว่า ตอนนี้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไปเยอะทุกอย่างมาจากภาวะโลกร้อน จะเห็นปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในประเทศไทยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผ่านมาเวียดนามมีหิมะตกเป็นครั้งแรก ล่าสุดมีหิมะตกในเคนยาประเทศเหล่านี้อยู่ใกล้เส้นศูนย์จึงไม่ต้องตกใจหากในเดือนมกราคมหิมะจะตกในเมืองไทย เดือนมกราคม อากาศจะเย็นที่สุด หิมะน่าจะตกในภาคเหนือ ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกใต้ขั้วโลกเหนือละลายเร็วกว่าที่เราคิด จะเห็นว่าขณะนี้มีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาใหญ่เท่ากับเมืองนิวยอร์กไหลลงสู่ทะเล แล้วก็ไปละลายในทะเลทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น “เฉพาะแค่ช่วงชีวิตผมเองระดับน้ำ ทะเลสูงขึ้น 16 เซนติเมตร ตอนนี้อายุผม 68 ปีแล้ว 16 เซนต์ถือว่าเยอะมากแค่ช่วงระยะสั้นๆ ปกติจะใช้เวลาเป็น 4,000-5,000 ปีไม่ใช่แค่ 100 ปี ตอนนี้กำลังเร่งเพราะความร้อนมากขึ้นน้ำแข็งละลายมากขึ้น จะเร่งขึ้นไปเรื่อยๆ” เมื่อย้อนไปยังยุคน้ำแข็งตอนนั้นอากาศหนาวเกือบจะทั่วโลกมีหิมะตก น้ำเหล่านี้หมุนเวียนไปเป็นน้ำแข็ง มีน้ำสะสมอยู่บนภูเขา ตรงขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ถ้าเราเปรียบเทียบ ตอนนั้นน้ำจากระดับน้ำทะเลระเหยขึ้นไปตกมากลายเป็นฝนและหิมะทำให้ระดับน้ำทะเลลดลง ตอนนั้นระดับน้ำทะเลอยู่ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 120 เมตร และถ้าน้ำแข็งละลายหมดระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 120 เมตรเพราะระดับน้ำทะเลไม่ได้หายไปไหนหมุนเวียนอยู่บนโลก เมื่อเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่าน้ำในทะเลสูงขึ้นจะค่อยๆ กินฝั่งของเราไปเรื่อยๆ อย่างเขตบางขุนเทียนที่กรุงเทพฯ เราสูญเสียแผ่นดินไปแล้ว 1 กิโลเมตร นักวิชาการทางทะเลบอกว่าปรากฏ การณ์เหล่านี้คือปัญหากัดเซาะชายฝั่ง แต่ในมุมมองของอดีตนักวิทยาศาสตร์จากนาซาไม่เป็นเช่นนั้น “ตอนนี้เสาไฟฟ้าอยู่ในทะเล หลายคนบอกว่าไม่ใช่น้ำทะเลสูงขึ้น แต่เป็นการเซาะฝั่ง ข้อบ่งชี้ว่าหากน้ำเซาะฝั่งเสาไฟฟ้าก็ล้มไปแล้วแสดงว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและเป็นอย่างนี้ทั่วโลก อเมริกาออกมาพูดว่าเมืองไมอามีอีกหน่อยก็จะไม่มีเหลือ ไม่ได้จมหมายความว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น” ภาวะโลกร้อนแผ่อานุภาพไปทั่วโลก ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยา อาจตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกจะแตก แต่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ได้หมายความว่าแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ จะพังเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหว อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้มนุษย์อยู่อย่างลำบาก ประกอบกับจำนวนประชากรของโลกเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน จำนวนผู้บริโภคมากขึ้นทำให้โลกยิ่งร้อน ซึ่งมีคนคิดถึงทางออกของปัญหานี้ไว้แล้ว ดร.อาจอง เล่าว่า องค์การนาซา มีโครงการจะไปเริ่มสร้างเมืองในอวกาศ โดยเลือกพื้นที่ดาวอังคารเพราะมีสภาพเหมือนกับโลก ขณะที่ดาวดวงอื่นเต็มไปด้วยอากาศพิษ ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป ดาวพฤหัสฯมีสภาพเป็นกรด ดาวอังคารแม้อากาศหนาวและมีสภาพไร้น้ำหนัก แต่มนุษย์อยู่ได้ด้วยการไปสร้างเมืองกระจกทำให้มีแรงโน้มถ่วงเหมือนกับอยู่บนโลกได้ เพราะสภาพไร้น้ำหนักทำให้กระดูกเราอ่อนไม่แข็ง กล้ามเนื้อจะหายไป ในเบื้องต้นจะส่งคนออกไปสร้างอุตสาหกรรมในอวกาศ ใช้วัตถุดิบจากดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งมีอยู่ 2 ดวง จะมีสารทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ยิปซัม แร่ธาตุต่างๆ และการ ขนย้ายแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นไปโดยง่ายบนสภาพไร้น้ำหนัก ขณะเดียวกันเราเจอน้ำบนดวงจันทร์เยอะมาก จะสร้างฐานบนดวงจันทร์ เป็นจุดเติมพลังงาน เอาน้ำที่อยู่บนดวงจันทร์มาใช้พลังงานแสงอาทิตย์แยกออกซิเจน เป็นพลังงานไฮโดรเจน ใช้พลังงานนี้ไปขับเคลื่อนกับยานต่างๆ ทำให้การเดินทางบนอวกาศเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่ต้องใช้น้ำมัน วางแผนว่ามนุษย์ครึ่งหนึ่งของโลกจะต้องอพยพไปอยู่บนดาวอังคาร อาจไปไม่หมดเพราะโลกวิกฤติ มนุษย์อยู่ลำบากแล้ว การออกแบบสร้างเมืองจะแบ่งเป็นเมืองขนาดเล็กอยู่สัก 2 แสนคน เป็นเมืองในอวกาศโดยสร้างระบบให้มีน้ำหนัก สามารถเดินไปมา ไม่ใช่ลอยไปมา ส่วนการเดินทางในอวกาศจะสร้างเรือใบรับรังสีพลาสม่าเพื่อให้พาหนะนี้เคลื่อนไปในอวกาศได้ การดำรงชีวิตในอวกาศไม่ต้องใช้น้ำมันจะใช้แสงแดดแทนเพราะมีเหลือเฟือ โดยจะสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ได้ รับรองไม่หล่นลงมาบนพื้นโลกเพราะในอากาศมีสภาพไร้น้ำหนัก สามารถรับแสงแดดได้ตลอดเวลาอีกทั้งไม่มีเมฆมาบดบัง ดร.อาจองบอกว่าองค์การนาซาวางแผนไว้ปี ค.ศ. 2020 มนุษย์จะลงไปบนดาวอังคารเป็นครั้งแรกเพื่อจะเริ่มไปเยี่ยมไปศึกษาอยู่ที่นั่นสักพักว่าจะอยู่กันได้สะดวกสบายแค่ไหน หลังจากนั้นจะเริ่มเอาคนไปอยู่สร้างตึกสร้างเมือง ตอนแรกจะมีเรือนกระจกแบบกลมๆ เราเข้าไปอยู่ในนั้นปลูกผักปลูกข้าว ต้นไม้บนดาวอังคารจะโตเร็วกว่าโลกของเรา ที่โตเร็วเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะเดียวกันเราไม่ต้องขนออกซิเจนไป ปลูกต้นไม้ก็คายออกซิเจนให้กับตัวเราได้ เมื่อผู้คนอพยพมามากขึ้นอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น ปกติบนดาวอังคารอุณหภูมิตอนนี้ติดลบ เมื่อมนุษย์อยู่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นแต่ตรงนั้นไม่ต้องห่วงเพราะอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว อุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส มนุษย์เข้าไปอยู่ได้อีกเยอะ และยิ่งอยู่เยอะยิ่งดีทำให้อากาศร้อนขึ้น ที่สุดแล้วเด็กในวันนี้จะเดินทางไปทำงานอวกาศแทนที่จะเดินทางไปตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่น การเดินทางไปดาวอังคารจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนกับการเดินทางขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ ระยะทางจากโลกไปดาวอังคารไม่แน่นอนบางครั้งอยู่ใกล้กัน บางครั้งไกลออกไป ตอนที่ผมไปช่วยเขาส่งยานอวกาศลงบนดาวอังคารใช้เวลา 11 เดือน แต่ระยะเวลาที่ใกล้สุดระหว่างดาวอังคารกับโลกคือ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะว่าโลกจะหมุนเข้าใกล้ดาวอังคารช่วงไหนของปี “เราต้องมองการณ์ไกลเริ่มคิดได้แล้วว่าประเทศอื่นส่งคนขึ้นไปบนอวกาศแล้ว ของเรายังไม่มีคนไทยขึ้นไปสักคนไม่ใช่ว่าเราต้องสร้างเอง แต่เราไปร่วมมือกับเขาให้ส่งคนของเราขึ้นไปบ้างเพื่อที่เราจะได้มีประสบการณ์ได้เรียนรู้ จีนเริ่มส่งขึ้นไปแล้ว มีทั้งญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง คนไทยเรายังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป” ดร.อาจอง กล่าวทิ้งท้าย ความหวังที่มนุษย์จะไปอยู่บนโลกใบใหม่ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 28 กันยายน 2551 เวลา 00:00 น. |